วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ประวัติความเป็นมาของศาสนาคริสต์


ศาสนาคริสต์

๑. ประวัติความเป็นมาของศาสนาคริสต์


๑.๑ ถิ่นกำเนิด ศาสนาคริสต์มีถิ่นกำเนิดในดินแดนปาเลสไตน์ (ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ แต่ไปเจริญรุ่งเรืองในทวีปยุโรป และภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาที่มีผู้คนนับถือมากที่สุดในโลก



๑.๒ ศาสดาผู้ประกาศศาสนา ศาสนาคริสต์มีวิวัฒนาการมาจากศาสนายูดาย (หรือศาสนายิว, นับถอกันมากในประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นที่ตั้งประเทศของชนชาติยิว) เป็นศาสนาประเภทเอกเทวนิยมหรือศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว คือ พระยะโฮวา และศาสดาของคริสต์ศาสนา คือพระเยซู พระเยซู ทรงเป็นชาวยิว ถือกำเนิดเมื่อปี พ.ศ. ๕๔๓ หรือ ค.ศ. ๑ (คริสต์ศักราชที่ ๑ เริ่มนับในปีที่พระเยซูประสูติ) เณ หมู่บ้านเบธเลเฮม แคว้นยูดายห์ ในดินแดนปาเลสไตน์ บิดาของพระเยซูเป็นช่างไม้ชื่อโยเซฟ และมารดาชื่อมาเรียหรือมารีอา ในวัยเยาว์ พระเยซูเติบโตในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในเมืองนาซาเรธ แคว้นกาลิลี เป็นผู้สนใจศึกษาหลักคำสอนอของศาสนายูดายโดยตลอดมา ครั้นเมื่อทรงมีพระชนม์ได้ ๓๐ พรรษา ทรงรับศีลล้างบาปตามลัทธิของนักบุญโยฮัน และได้ปลีกตัวไปประทับที่ป่าแห่งหนึ่ง เพื่อบเพ็ญศีลภาวนา เจริญสมาธิ และนมัสการพระเจ้า หลังจากนั้นจึงทรงประกาศศาสนาใหม่ เรียกว่า ศาสนาคริสต์


๑.๓ การต่อต้านจากผู้เสียผลประโยชน์ พระเยซูเผยแผ่หลักคำสอนของพระองค์ได้ ๓ ปี มีผู้คนศรัทธาเปลี่ยนมานับถือคริสต์ชนจำนวนมาก จึงเกิดผลกระทบต่อศาสนาเดิม ทำให้กลุ่มผู้นำทางศาสนายูดายคิดกำจัดพระองค์ โดยใส่ร้ายพระองค์และฟ้องร้องต่อผู้ปกครองแคว้น ในที่สุด พระเยซูถูกจับและถูกประหารชีวิตด้วยการตรึงร่างกายไว้บนไม้กางเขนรวมพระชนม์ได้ ๓๓ พรรษา ภายหลังที่สิ้นพระชมน์ บรรดาสาวกได้ร่วมมือกันเผยแผ่หลักคำสอนของพระองค์ต่อไป ๑.๔ ศาสนาคริสต์ลงรากฐานที่มั่นคงในดินแดนยิว ผู้คนที่นับถือคริสต์ศาสนาในระยะแรกส่วนใหญ่เป็นชาวยิว ต่อมากได้เผยแผ่เข้าไปในหมู่ชาวกรีก ชาวโรมัน ฯลฯ และกลายเป็นศาสนาประจำชาติของอาณาจักรโรมันและประเทศอื่น ๆ ใสยุโปในเวลาต่อมา


๒. นิกายสำคัญของศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสตือกำเนิดในโลกนี้นานกว่า ๒,๐๐๐ ปี มีนิกาย ๆ ๓ นิกาย ดังนี้


๒.๑ นิกายโรมันคาทอลิก เป็นนิกายที่ยึดมั่นคำสอนของพระเยซูโดยเคร่งครัด มีศูนย์อยู่ที่นครวาติกัน (ใจกลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี) มีพระสันตะปาปา หรือโป๊ป (Pope) เป็นประมุข ผู้นับถือนิกายนี้จะเคารพพระแม่มาเรียหรือนักบุญต่าง ๆ

๒.๒ นิกายออร์โธด๊อกซ์ มีหลักคำสอนที่เหมือนกับนิกายโรมันคาทอลิกทุกประการ แต่มีความแตกต่างในรูปแบบของพิธีกรรมและระเบียบปฏิบัติของนักบวช เช่น ยินยอมให้นักบวชชั้นผู้น้อยแต่งงานหรือมีครอบครัวได้ ในขณะที่นักบวชทุกระดับของนิกายโรมันคาทอลิกจะใช้ชีวิตสมรสไม่ได้ ประการสำคัญ นิกายออร์โธด็อกซ์จะไม่ขึ้นกับสันตะปาปาที่นครวาติกัน แต่ถือว่าประมุขทางศาสนาของแต่ละประเทศต่างเป็นอิสระและมีฐานะเท่าเทียมกัน

๒.๓ นิกายโปรเตสแตนต์ เป็นนิกายที่แยกออกจากนิกายโรมันคาทอลิก เนื่องจากมีความเห็นเกี่ยวกับหลักคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลที่แตกต่างกัน และการปฏิบัติในพิธีกรรมก็ไม่เหมือนกัน โดยนิกายโปรเตสแตนต์นิยมความเรียบง่าย ไม่หรูหรา ในปัจจุบัน นิกายนี้แยกเป็นนิกายย่อย ๆ อีกหลายนิกาย

นอกจากนั้น นิกายโปรเตสแตนต์จะไม่ยอมรับในอำนาจของพระสันตะปาปาหรือโป๊ปที่นครวาติกัน ไม่ยอมรับในพระแม่มาเรียหรือนักบุญทั้งหลาย (ในโบสถ์จึงไม่มีรูปปั้นของนักบุญดังกล่าว จะมีเพียงไม้กางเขนเป็นเครื่องหมายเท่านั้น) ไม่มีนักบุญหรือบาทหลวง จะมีแต่ผู้ทำหน้าเผยแผ่ศาสนา ซึ่งสามารถแต่งงานมีครอบครัวได้


๓. คัมภีร์ของศาสนา ศาสนาคริสต์รวบรวมหลักคำสอนไว้ในคัมภีร์ “ไปเบิล” (Bible) ซึ่งเป็นพระวจนะ (คำพูด) ของพระเจ้า เพื่อชี้แนวทางให้มนุษย์หลุดพ้นจากบาป และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพระเจ้าบนอาณาจักรสวรรค์


๔. หลักคำสอนสำคัญ หลักคำสอนที่สำคัญของศาสนาคริสต์ มี ๔ หัวข้อ ดังนี้


๔.๑ บัญญัติ ๑๐ ประการ เป็นหลักธรรมของศาสนายูดาย (ศาสนาชนชาติยิว) ซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่ชาวยิวผ่านทาง “โมเสส” ผู้นำชาวยิวในสมัยนั้น เนื่องจากศาสนาคริสต์มีวิวัฒนาการมากจากศาสนายูดาย จึงนำหลักบัญญัติ ๑๐ ประการมาปฏิบัติด้วย มีดังนี้

๑. จงนมัสการพระเจ้า (พระยะโฮวา) เพียงพระองค์เดียว

๒. อย่ากล่าวนามพระเจ้าโดยไม่สมควร

๓. อย่าทำรูปปั้นรูปเคารพศาสนาอื่นใด

๔. จงนับถือบิดามารดา

๕. จงนับถือวันพระเจ้าหรือวันสะบาโต (วันเสาร์) เป็นวันศักสิทธิ์

๖. อย่าฆ่าคน

๗. อย่าหลักทรัพย์

๘. อย่าใส่ความนินทาให้ร้ายผู้อื่น

๙. อย่าผิดประเวณี

๑๐. อย่าโลภสิ่งของผู้อื่น

๔.๒ หลักตรีเอกานุภาพ เป็นหลักคำสอนที่ระบุว่า “พระเจ้ามีองค์เดียว แต่มีสามบุคคล” คือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต มีความหมายดังนี้ ๑. พระบิดา คือ พระเจ้าผู้สร้างโลก และให้กำเนิดแก่ชีวิตทุกชีวิต ๒. พระบุตร คือ พระเจ้าทรงมาเกิดเพื่อไถ่บาปให้แก่มวลมนุษย์ ซึ่งหมายถึงพระเยซู ๓. พระจิต คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ปรากฏในจิตใจของมนุษย์ คอยกระตุ้นให้มนุษย์สำนึกใสคุณธรรมความดี และนำมนุษย์ไปสู่อาณาจักรของพระเจ้า

๔.๓ หลักความรัก ศาสนาคริสต์ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งความรัก เพราะสอนให้มนุษย์มีความรักต่อพระเจ้า และมีความรักต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน (แม้แต่ศัตรู) ความรักดังกล่าว หมายถึง ความเมตตา กรุณา เสียสละ และการให้อภัย

๔.๔ อาณาจักรพระเจ้า เป็นหลักคำสอนที่กล่าวถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต ซึ่งชาวคริสต์ทุกคนจะต้องไปให้ถึง คือ เข้าไปสู่อาณาจักรพระเจ้า อาณาจักรพระเจ้า หมายถึงอาณาจักรแห่งจิตใจ บุคคลผู้มีใจบริสุทธิ์ อันเกิดจากการปฏิบัติตามหลักคำสอน และมีความศรัทธาต่อพระเจ้าและพระเยซู บุคคลนั้นย่อมเข้าถึงการเป็นบุตรพระเจ้าอย่างแท้จริง และได้เป็นสมาชิกของอาณาจักรอันบริสุทธิ์ของพระองค์

หลักคำสอนเรื่องอาณาจักรพระเจ้า ช่วยให้มนุษย์สร้างศรัทธาขึ้นในจิตใจของตนเพื่อรับฟังคำสั่งสอนปละปฏิบัติได้ถูกต้อง อาณาจักรพระเจ้าแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ดังนี้

๑. อาณาจักรพระเจ้าบนโลกมนุษย์ คือการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในชุมชนชาวคริสต์อย่างมีระเบียบและสงบสุข ผู้ยึดมั่นในหลักคำสอน และมีศรัทธาในพระเจ้าอย่างเปี่ยมล้น

๒. อาณาจักรพระเจ้าบนสวรรค์ ชาวคริสต์ที่ศรัทธาในพระเจ้า ประกอบแต่คุณงามความดี เมื่อตายไปวิญญาณจะไปอยู่ร่วมกับพระเจ้าบนสรวงสวรรค์ และมีชีวิตนิรันดร


๕. พิธีกรรมทางศาสนา พิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญของศาสนาคริสต์ เรียกว่า “พิธีรับศีลศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งนิกายโรมันคาทอลิกกับนิกายออร์โธด็อกซ์ จะรับปฏิบัติทั้ง ๗ พิธี



๑. ศีลล้างบาป เป็นพิธีกรรมแรกสำหรับผู้เริ่มนับถือคริสต์ศาสนา ทั้งเด็กทารกแรกเกิดและผู้ใหญ่ เพราะมีความเชื่อว่ามนุษย์มีบาปติดตัวมาตั้งแต่เกิด โดยบาทหลวงจะเทน้ำลงบนศรีษะ ๓ ครั้ง เพื่อล้างบาปมลทินต่าง ๆ นิกายโปรเตสแตนต์ เรียกพิธีกรรมนี้ว่า “ศีลจุ่ม”

๒. ศีลกำลัง เป็นพิธีกรรมที่ทำให้เป็นชาวคริสต์ที่สมบูรณ์ โดยบาทหลวงจะเจิมน้ำมันที่หน้าผากเป็นรูปไม้กางเขน เป็นการยืนยันว่าพระจิตหรือวิญญาณอันบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้เสด็จเข้าสู่จิตใจของชาวคริสต์ผู้นั้นแล้ว โดยทั่วไป การทำพิธีถือ “ศีลกำลัง” จะทำเมื่อมีอายุ ๗ ขวบขึ้นไป

๓. ศีลมหาสนิท เป็นพิธีกรรมที่ชาวคริสต์จะร่วมกันปฏิบัติที่โบสถ์ทุกวันอาทิตย์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “พิธีมิสซา” เพื่อระลึกถึงชีวิตและคำสอนของพระเยซู ชาวคริสต์จะอดอาหารก่อนเข้าร่วมพิธีหนึ่งชั่วโมง แล้วจึงสวดมนต์ ต่อจากนั้นจึงรับขนมปังและเหล้าองุ่นจากบาทหลวงมารับประทาน

๔. ศีลแก้บาป ชาวคริสต์จะทำพิธีแก้บาปอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง โดยคุกเข่าและกล่าวคำสารภาพบาปหรือความผิดที่ตนได้กระทำลงไปต่อบาทหลวง เพื่อให้พระเจ้ายกโทษให้ ทั้งนี้ต้องตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำผิดซ้ำอีก

๕. ศีลเจิมคนไข้ เป็นพิธีเจิมคนไข้ด้วยน้ำมันอันศักดิ์สิทธิ์ บาทหลวงจะทำพิธีนี้แก่ผู้ป่วยเรื้อรังหรือคนไข้ที่เจ็บหนัก เพื่อให้มีกำลังใจเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บ และลดบาปให้

๖. ศีลบวช (หรือศีลอนุกรม) เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์สำหรับบวชให้ชาวคริสต์ผู้สมัครใจเป็นบาทหลวง ผู้บวชจะต้องมีอายุ ๒๔ ปีบริบูรณ์ มีความประพฤติดี โดยพระสังฆราชจะเป็นผู้ทำพิธีนี้ให้ โดยเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ที่มือของผู้รับศีล

๗. ศีลสมรส เป็นพิธีแต่งงานของชายและหญิงในโบสถ์ โดยบาทหลวงเป็นผู้ทำพิธีให้ สำหรับนิกายโรมันคาทอลิก ถือว่าเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ คู่สมรสจะต้องอยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิต จะหย่าร้างกันมิได้


อ้างอิงจาก www gotoknow.org/blog/pramahaas

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ประวัติของ พระพุทธเจ้า


พุทธประวัติ

1. ประสูติ

- พระพุทธเจ้ามีพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" เป็พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศเนปาล พระราชมารดาทรงพระนามว่า "พระนางสิริมหามายา" ซึ่งเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ - เจ้าชายสิทธัตถะประสูติเมื่อ 80 ปีก่อนพุทธศักราช ที่สวนลุมพินีวัน ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งอยู่ระหว่างพรมแดนกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ(ปัจจุบันคือ ต.รุมมินเด ประเทศเนปาล) ได้มีพราหมณ์ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ คือ ถ้าดำรงตนในฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้อายุน้อยที่สุดในจำนวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวชและจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน - ทันทีที่ประสูติ ทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว มีดอกบัวผุดรองรับ ทรงเปล่งพระวาจาว่า "เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา"


2. วัยเด็ก

- หลังประสูติได้ 7 วัน พระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์ จึงทรงอยู่ในความดูแลของพระนางปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา - ศึกษาเล่าเรียนจนจบระดับสูงของการศึกษาทางโลกในสมัยนั้น ค์อ ศิลปศาสตร์ถึง 18 ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตร - พระบิดาไม่ประสงค์จะให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอก จึงพยายามให้สิทธัตถะพบแต่ความสุขทางโลก เช่น สร้างปราสาท 3 ฤดู และเมื่ออายุ 16 ปี ได้ให้เจ้าชายสิทธัตถะอภิเษกกับนางพิมพาหรือยโสธรา ผู้เป็นพระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา - เมื่อมีพระชนมายุ 29 ปี พระนางพิมพาก็ให้ประสูติ ราหุล (บ่วง)


3. เสด็จออกผนวช

- เมื่อทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณตามลำดับ จึงทรงคิดว่าชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ จึงเกิดแนวความคิดว่า

-ธรรมดาในโลกนี้มีของคู่กันอยู่ เช่น มีร้อนก็ต้องมีเย็น , มีทุกข์คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ต้องมีที่สุดทุกข์ คือ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

-ทรงเห็นความสุขทางโลกเป็นเพียงมายา ความสุขในกามคุณเป็นความสุขจอมปลอม เป็นเพียงภาพมายาที่ ชวนให้หลงว่าเป็นความสุขเท่านั้น ในความจริงแล้วไม่มีความสุข ไม่มีความเพลิดเพลินใดที่ไม่มีความทุกข์เจือปน

-วิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ของชีวิตเช่นนี้ได้ หนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร จะต้องสละเพศผู้ครองเรือนเป็นสมณะ

- สิ่งที่ทรงพบเห็นเรียกว่า "เทวทูต(ทูตสวรรค์)" จึงตัดสินพระทัยทรงออกผนวช ในวันที่พระราหุลประสูติเล็กน้อย พระองค์ทรงม้ากัณฐกะออกผนวช มีนายฉันทะตามเสด็จ โดยมุ่งตรงไปที่แม่น้ำอโนมานที ทรงตัดพระเกศา และเปลี่ยนเครื่องทรงเป็นผ้ากาสาวพักตร์ (ผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้) ทรงเปลื้องเครื่องทรงมอบให้นายฉันนะนำกลับพระนคร การออกบวชครั้งนี้เรียกว่า การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่)

- หลังจากทรงผนวชแล้ว จึงทรงมุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ เพื่อค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร เมื่อเรียนจบทั้งสองสำนัก (บรรลุฌาณชั้นที่แปด) ก็ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ตามที่มุ่งหวังไว้

- จากนั้นจึงเสด็จไปที่แม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (ปัจจุบันนี้สถานที่นี้เรียกว่า ดงคศิริ) เมื่อบำเพ็ญทุกรกิริยา โดยขบฟันด้วยฟัน กลั้นหายใจและอดอาหาร หลังจากทดลองมา 6 ปี ก็ยังไม่พบทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา หันมาบำรุงพระวรกายโดยปกติตามพระราชดำริว่า "เหมือนสายพิณควรจะขึงพอดีจึงจะได้เสียงที่ไพเราะ" ซึ่งพระอินทร์ได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย พิณสายหนึ่งขึงไว้ตึงเกินไป พอถูกดีดก็ขาดผึงออกจากกัน จึงพิจารณาเห็นทางสายกลางว่า เป็นหนทางที่จะนำไปสู่พระโพธิญาณได้

- ระหว่างที่ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์ (โกญฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ) มาคอยปรนนิบัติพระองค์โดยหวังว่าจะทรงบรรลุธรรมวิเศษ เมื่อพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์จึงหมดศรัทธา พากันไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี (ต.สารนาถ)


4. ตรัสรู้ (15 ค่ำเดือน 6)

- ขณะมีพระชนมายุได้ 35 พรรษา ในวันที่พระองค์ตรัสรู้ นางสุชาดาได้ถวายข้าวมธุปายาส(หุงด้วยนม) ใต้ต้นไทร เมื่อเสวยเสร็จแล้วทรงลอยถาดทองในแม่น้ำเนรัญชรา ทรงอธิษฐานเสี่ยงพระบารมีว่า ... “ถ้าอาตมาจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ” ถาดทองนั้นลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ๑ เส้น แล้วก็จมลงตรงนาคภพพิมานแห่งพญากาฬนาคราช พระองค์ทรงโสมนัสและแน่พระทัยว่าจะได้ตรัสรู้ เป็นพระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า โดยหาความสงสัยมิได้

- ในเวลาเย็นโสตถิยะให้ถวายหญ้าคา 8 กำมือ ปูลาดเป็นอาสนะ ณ โคนใต้ต้นโพธิ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา (ปัจจุบันคือ ต.พุทธคยา ประเทศอินเดีย)

- ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าจะบรรลุโพธิญาณ ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก - ทรงบรรลุรูปฌาณทั้ง 4 ชั้น แล้วใช้สติปัญญาพิจารณาจนเกิดความรู้แจ้ง คือ

1) เวลาปฐมยาม ทรงได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกชาติได้

2) เวลามัชฌิมยาม ทรงได้จุตูปปาตญาณ(ทิพยจักษุญาณ)คือรู้เรื่องเกิด-ตายของสัตว์ทั้งหลายว่า เป็นไปตามกรรมที่ตนกระทำไว้

3) เวลาปัจฉิมยาม ทรงได้ อาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะหรือกิเลส หมายถึง ตรัสรู้อริยสัจ4

- อาสวักขยญาณ ที่ทรงได้ทำให้ทรงพิจารณาถึงขันธ์ 5 และใช่แห่งความเป็นเหตุที่ เรียกว่า ปฏิจจสุปบาท อันเป็นต้นทางให้เขาถึงอริยสัจ 4

- เมื่อพระองค์ทรงรู้เห็นแล้ว จึงละอุปาทานและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


5. ปฐมเทศนา

- หลังจากที่ตรัสรู้แล้ว ได้พิจารณาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้เป็นเวลา 7 สัปดาห์ ทรงเห็นว่าพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อน สุขุมคัมภีรภาพ ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้ ทรงเกิดความท้อพระทัยว่าจะไม่แสดงธรรมโปรดมหาชน ต่อมาท่านได้ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง แล้วทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ เปรียบเสมือนบัว ๔ เหล่า ดังนั้นแล้วจึงดำริที่จะแสดงธรรมเพื่อมวลมนุษยชาติต่อไป บัว ๔ เหล่า ได้แก่

๑. พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู)

๒. พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปัจจิตัญญู)

๓. พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)

๔. พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)


6. ลักษณะการแสดงธรรม

- สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางธรรมมาก่อนจะทรงเทศน์ "อนุปุพพิกถา" ซึ่งว่าด้วยเรื่อง

- คุณของการให้ทาน การรักษาศีล

- สวรรค์ (การแสวงสุขเนื่องจากการให้ทาน การให้ศีล)

- โทษของกามและการปลีกตัวออกจากกาม - จากนั้นจึงทรงเทศน์ อริยสัจ 4


7. แสดงธรรมโปรดยสกุลบุตร

- ยสกุลบุตรเบื่อหน่ายชีวิตครองเรือนหนีออกจากบ้าน ไปยังป่าอิสปตนมฤคทายวันในเวลาเช้ามืด แล้วพบพระพุทธเจ้าบังเอิญ ยสกุลบุตรสดับพระธรรมเทศนาได้ดวงตาเห็นธรรม ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ และขอบวช - อุบาสิกอุบาสิกาคู่แรก คือ บิดามารดาของพระยสะ


- ครั้นแล้วมีเพื่อนของพระยสะ 4 คนกับอีก 50 คน ได้มาฟังพระธรรมเทศนา สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จึงมีพระอรหันต์ในโลก 61 องค์


8. การส่งสาวกออกประกาศศาสนา

- ตรัสเรียกสาวกออกประกาศศาสนา เมื่อมีสาวกครบ 60 รูป (ปัญจวัคคีย์และพวกพระยสะ) - ตรัสให้พระสาวก 60 รูปแยกย้ายกันประกาศศาสนา 60 แห่งไม่ซ้ำทางกัน

- พระองค์จะเสด็จไปแสดงธรรม ณ ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม

- เมื่อสาวกออกประกาศเทศนา มีผู้ต้องการบวชมาก และหนทางไกลกัน จึงทรงอนุญาตให้สาวกดำเนินการบวชได้ โดยใช้วิธีการ "ติสรณคมนูปสัมปทา" (ปฏิญาณตนเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย)


9. การประดิษฐ์พุทธศาสนา ณ แคว้นมคธ

- วิธีเผยแพ่รศาสนาในกรุงราชคฤห์ ทรงเทศน์โปรดชฎิล(นักบวชเกล้าผม)สามพี่น้อง ได้แก่ พระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ พระคยากัสสปะ และบริวาร รวม 1,000 คนก่อน แล้วได้ขอบวชในพระพุทธศาสนา เพราะพวกชฎิลเป็นเจ้าลัทธิบูชาไฟที่ยิ่งใหญ่ หากชฎิลยอมรับพุทธธรรมได้ ประชาชนก็ย่อมเกิดความศรัทธา - พระอุรุเวลกัสสปะได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางมีบริษัท(บริวาร)มาก

- พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายวัดนับว่าเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา คือ พระเวฬุวันมหาวิหาร (วัดเวฬุวัน)


10. อุปติสสะ

(พระสารีบุตร) และโกลิตะ (พระโมคคัลลานะ)

- ณ กรุงราชคฤห์นี้เอง เด็กหนุ่มสองคน ซึ่งเป็นศิษย์ของนักปรัชญาเมธี ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งชื่อ สัญชัย เวลัฏฐบุตร โดยพระอัสสชิได้แสดงธรรมให้อุปติสสะว่า "ทุกสิ่งจากเหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของสิ่งเหล่านั้น และการดับเหตุของสิ่งเหล่านั้น"


11. โอวาทปาติโมกข์

- วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 (มาฆบูชา) เกิดมีจตุรงคสันนิบาต ซึ่งประกอบด้วย

1) วันนั้น เป็นวันมาฆปูรณมี คือวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือนมาฆะ จึงเรียกว่า มาฆบูชา

2) พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย

3) พระภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ ประเภทฉฬภิญญา คือ ได้อภิญญา ๖ ซึ่งหมายถึงความสามารถ พิเศษ ๖ ประการ ได้แก่ แสดงฤทธิ์ได้ ระลึกชาติได้ ตาทิพย์ หูทิพย์ กำหนดรู้ใจคนอื่นได้ และบรรลุอาสวักขยญาณ (คือ ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย)

4) พระภิกษุ เหล่านั้น ทั้งหมด ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง (เอหิภิกฺขุอุปสมฺปทา) ทรงเทศน์ "โอวาทปาติโมกข์" ซึ่งถือเป็นหัวใจของศาสนาพุทธ


12. โปรดพระพุทธบิดาและพระประยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์

- ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดา (พระเจ้าสุทโธทนะ) ได้บรรลุโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล จนบรรลุอรหันตผลเมื่อใกล้สวรรคต - พระนันทะ (เป็นโอรสของพระสุทโธทนะกับพระนางปชาบดีโคตมี) ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านำ ออกผนวชอุปสมบท

- ต่อมาพระนางยโสธราก็ให้พระกุมารราหุลซึ่งมีอายุ 7 ปีไปทูลขอราชสมบัติ พระพุทธเจ้าเห็นว่าราชสมบัติเป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืน อริยทรัพย์(ทรัพย์อันประเสริฐ)ต่างหากเป็นสิ่งยั่งยืน จึงทรงให้พระสารีบุตรทำการบรรพชาให้ราหุลเป็นสามเณร จึงเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา ณ นิโครธาราม พระเจ้าสุทโธทนะจึงขอร้องว่า "ขออย่าให้ทรงบวชใคร โดยที่พ่อแม่เขายังไม่ได้อนุญาต" เมื่ออายุครบ 20 ปี ได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ จากนั้นก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางใคร่ต่อการศึกษา

- ทรงให้อุปสมบทแก่เจ้าศากยะ 5 พระองค์ คือ พระอานนท์ พระอนุรุทธ์(เป็นผู้มีเลิศในทางมีทิพยจักษุ) พระภัททิยะสักยราชา พระภัคคุ พระกิมพิละ และเจ้าโกลิยะ 1 พระองค์ คือพระเทวทัต จนได้บรรลุอรหัตผล 5 ท่าน ยกเว้นพระเทวทัต - พระอุบาลีเป็นบุตรของช่างกัลบก(ช่างตัดผม)อยู่ในวรรณะต่ำ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพนักงานภูษามาลาของเจ้าศากยะ ทำหน้าที่จัดการดูแลเครื่องแต่งกาย เมื่อเจ้าศากยะ 5 พระองค์ และเจ้าโกลิยะ 1 พระองค์ทรงออกผนวช อุบาลีได้ติดตามไปขออุปสมบทด้วย พระอุบาลีเมื่อได้อุปสมบทแล้วไม่ช้าก็บรรลุอรหัตผล และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศทาง ด้านผู้ทรงไว้ซึ่งพระวินัย

- พระนางปชาบดีโคตมี(พระน้าของพระพุทธเจ้า) ได้ผนวชเป็นภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา โดยพระอานนท์ช่วยกราบทูลขออนุญาตพระพุทธเจ้าสุดท้ายได้บรรลุพระอรหันต์ และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางรู้ราตรี

- โปรดให้พระนางยโสธราได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีชื่อพระนางภัททา กัจจานา จนบรรลุอรหัตผล และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางบรรลุอภิญญาใหญ่ (สามารถระลึกเหตุการณ์ในกัปป์ต่างๆย้อนหลังไปได้มากนับไม่ถ้วน)


13. การประดิษฐ์พุทธศาสนา

ณ แคว้นโกศลเมื่อประดิษฐานพระศาสนาในแคว้นมคธได้อย่างมั่นคงแล้ว ต่อมาไม่นานพระพุทธศาสนาก็มีศูนย์กลางแห่งใหม่ที่ เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล โดยอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้สร้าง"วัดพระเชตวัน"ขึ้น แล้วกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ไปอยู่ประจำ และนางวิสาขามหาอุบาสิกาเศรษฐีนีคนหนึ่ง ก็มีจิตศรัทธาสร้าง วัดบุพพาราม ถวายด้วย


14. ปัจฉิมกาล

- ก่อนปรินิพพาน 3 เดือน ทรงปลงอายุสังขาร

- ก่อนปรินิพพาน 1 วัน นายจุนทะถวายสุกรมัททวะ (หมูอ่อน) เมื่อพระองค์เสวยแล้วประชวรพระอานนท์โกรธ พุทธองค์จึงตรัสว่า "บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ที่สุด มี 2ประการ คือ เมื่อตถาคต (พุทธองค์) เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ ,ปรินิพพาน"

- ก่อนปรินิพพานทรงกล่าวพุทธโอวาทว่า

1.)การบูชาพุทธองค์อย่างแท้จริง คือ การปฎิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม

2.)พุทธศาสนิกชนที่ต้องการเฝ้าพระองค์ควรไปที่ "สังเวชนียสถาน"

3.)การวางตัวของภิกษุต่อสตรี ต้องคุมสติอย่าแปรปรวนตามราคะตัณหา

4.)พระบรมสารีริกธาตุเป็นเรื่องของกษัตริย์(มัลลกษัตริย์) มิใช่กิจของสงฆ์

5.)ความพลัดพรากเป็นธรรมดาของโลก

6.)ธรรมและวินัย จะเป็นศาสดาแทนพุทธองค์ ทั้งนี้เพราะบุคคลไม่เที่ยงแท้เท่ากับพระธรรมซึ่งเป็นสัจธรรม


- ปัจฉิมสาวก คือ สุภัททะบริพาชก

- ปัจฉิมโอวาท "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"(อปปมาเทน สมปาเทต)


- ปรินิพพาน ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ พระชนมายุ 80 ปี ทรงเทศนาสั่งสอนมาเป็นเวลา 45 ปี
อ้างอิง จาก/www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=2865